16 ก.พ. 2552

supply chain

Supply Chain
คือ เครือข่ายตั้งแต่การจัดหาสินค้าหรือบริการจนกระทั่งถึงส่งมอบสินค้าหรือบริการถึงมือลูกค้า ประกอบด้วย Suppliers, Manufacturers, Distributors, Retailers, Wholesalers และ Customers
Supply Chain Management
คือระบบที่จัดการการบริหารและเชื่อมโยงเครือข่ายตั้งแต่suppliers, manufacturers , distributors เพื่อส่งมอบสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าโดยมีการเชื่อมโยงระบบข้อมูล วัตถุดิบ สินค้าและบริการ เงินทุน รวมถึงการส่งมอบเข้าด้วยกันเพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งมอบได้ตรงตามเวลาและความต้องการ

M-Commerce เทคโนโลยีช่องทางธุรกรรมยุคใหม่
ด้วยความก้าวหน้าเทคโนโลยีระบบไร้สาย ได้ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเกิดการขยายตัวรวดเร็ว และสร้างโอกาสการพัฒนาช่องทางดำเนินธุรกรรมแบบใหม่ โดยเฉพาะการดำเนินธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์ เรียกว่า Mobile Commerce (M-Commerce) หรือ W-Commerce
ดังนั้น การดำเนินธุรกรรมผ่านอุปกรณ์มือถือซึ่งเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ไร้ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ ทำให้องค์กรทั้งหลายสนใจการให้บริการด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว เช่น การดาวน์โหลดเพลง การจ่ายค่าโดยสาร ผ่านอุปกรณ์มือถือหรือการตรวจเช็คสต็อกสินค้า เพื่อดำเนินการสั่งซื้อขณะปฏิบัติการภาคสนาม เป็นต้น แม้แต่ธนาคารชั้นนำแห่งยุโรปเหนือได้นำโปรโตคอลที่แสดงด้วยรูปแบบ HTML, XML และมาตรฐานเว็บที่สามารถแสดงผ่านบนระบบโทรศัพท์มือถือ นั่นคือ WAP เพื่อให้บริการกับลูกค้า เรียกว่า WAP Banking Service ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี WAP ได้มีบทบาทกับตลาดยุโรปเหนือ ด้วยเหตุนี้ธนาคารหลายแห่งในภูมิภาคยุโรปจึงสนใจลงทุนเทคโนโลยี WAP ซึ่งเป็นผลจากความอิ่มตัว การให้บริการด้วยรูปแบบอินเตอร์เน็ตแบงกิ้ง ช่วงปลายปี 1999 Datamonitor ได้ทำการสำรวจผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือในยุโรป ซึ่งรายงานสรุปว่า มีผู้ใช้บริการราว 133 ล้านคน และคาดการณ์ว่ามีการเติบโตกว่าเท่าตัวภายในปี 2005 ปัจจุบันได้มีผู้ประเมินมูลค่าธุรกรรมผ่านช่องทางระบบมือถือหรือ Mobile channel สูงถึงราวสองล้านล้านดอลล่าร์ ดังนั้น M-Commerce จึงเป็นตลาดที่สร้างช่องทางและโอกาสทางธุรกิจสูง ซึ่งการทำธุรกรรมระหว่างองค์กร(B2B) ในอนาคตจะเป็นรูปแบบประสานการทำงานร่วมกัน (Collaboration) โดย Mobile Commerce เป็นผู้เล่นที่มีบทบาทเชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทาน ทำให้เกิดการลดต้นทุนและเวลาสำหรับดำเนินธุรกรรม

เนื่องจากจำนวนผู้ใช้อุปกรณ์ระบบไร้สายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับแต่ช่วงปลายทศวรรษ 90 จึงทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้มีแนวโน้มลดลง สำหรับปัจจัยที่ช่วยดึงดูดให้มีผู้เข้ามาใช้งานเพิ่มขึ้น เนื่องจากการทำธุรกรรมผ่านระบบไร้สายสามารถตอบสนองให้กับผู้ใช้งานโดยไม่จำกัดตำแหน่งสถานที่ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับโลกอินเตอร์เน็ต ทำให้ลูกค้าช็อปปิ้งหรือสั่งซื้อสินค้าได้ไม่จำกัดสถานที่ โดยใช้โทรศัพท์มือถือที่พกพาไป ดังกรณีลูกค้าของ Dagens Industri แห่งสวีเดนได้ทำการซื้อขายหุ้น ในตลาด Stockholm Exchange และรับข้อมูลซื้อขายหุ้นจากที่ต่างๆ ผ่านอุปกรณ์ PDA ส่วน Citybank ได้เปิดบริการ Mobile banking ที่สิงคโปร์ ฮ่องกง และอีกหลายประเทศ นอกจากนี้ M-Commerce ยังเป็นช่องทางประมูลทางออนไลน์อย่าง QWL.Com แห่งประเทศอังกฤษได้ให้ลูกค้าเปิดบัญชีบนเว็บไซต์ และสามารถประมูลผ่านอุปกรณ์มือถือ รวมทั้ง e-Bay ดำเนินธุรกิจประมูลทางออนไลน์ผ่านอุปกรณ์มือถือเช่นกัน

แม้ว่าสหรัฐอเมริกาได้เป็นผู้นำแห่งเทคโนโลยีออนไลน์ แต่สำหรับการสื่อสารด้วยระบบไร้สายกลับได้รับความนิยมและพัฒนาอย่างรวดเร็วในยุโรปและญี่ปุ่น ดังนั้นผู้บุกเบิกให้บริการระบบไร้สายรายหลักของญี่ปุ่นอย่าง I-MODE ได้ประสบความสำเร็จจากการให้บริการอันหลากหลายผ่าน M-Commerce ระหว่างปี 1999-2000 ตั้งแต่การซื้อขายหุ้นทางออนไลน์ การซื้อตั๋วเดินทาง ตลอดจนการจองห้องคาราโอเกะด้วยการรับส่งภาพสีบน I-MODE ซึ่งการให้บริการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 1999 โดยต้นปี 2001 ได้มีผู้ใช้บริการกว่า 15 ล้านคน ซึ่งทำให้ I-MODE ยกระดับการให้บริการระดับสากลในช่วงปลายปี 2001 และได้พัฒนารูปแบบการบริการที่ดึงดูดผู้ใช้งาน เช่น สามารถเข้าดูตารางเวลารถไฟ และรถบัส การสั่งซื้อเพลงผ่านทางออนไลน์ การสั่งซื้อตั๋วเครื่องบิน และการหาข้อมูลหนังสือขายดี เป็นต้น
ปัจจุบันเทคโนโลยี M-Commerce ได้พัฒนาสู่รูปแบบให้บริการตามตำแหน่งผู้ใช้อุปกรณ์มือถือ(Localization of services) หรือ L-commerce ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าผ่านอุปกรณ์มือถือ การให้บริการดังกล่าวทำให้ผู้ใช้ได้รับทราบตารางการเดินรถและตำแหน่งของรถบัส เพียงแค่โทรแจ้งทางระบบจะดำเนิน การคำนวณเวลาที่รถบัสมาถึงป้ายหรือสถานี นอกจากนี้ยังสามารถค้นหาตำแหน่งผู้ใช้มือถือว่ากำลังอยู่ตำแหน่งใด

เทคโนโลยีสนับสนุนธุรกรรมได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะ M-Commerce ได้สร้างช่องทางเชื่อมโยงกับลูกค้าหรือคู่ค้าแบบไร้สาย ซึ่งมีบทบาทแทนที่รูปแบบการให้บริการในตลาดระบบโทรศัพท์แบบเก่า (Fixed - line) ด้วยความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ผลักดันให้ผู้พัฒนาซอฟท์แวร์เกิดการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อปรับปรุงสมรรถนะระบบไร้สายให้สามารถตอบสนองกับความหลากหลายของผู้บริโภคยุคใหม่ ด้วยเหตุนี้ M-Commerce จึงไม่เป็นเพียงแค่นวัตกรรมเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจยุคใหม่

Supply Chain กับการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ
ในระบบการค้ายุคใหม่ (New Economy) ผู้ประกอบการสามารถบริหาร ห่วงโซ่มูลค่าทางการค้าโดยการสร้างมูลค่าของสินค้าโดยอาศัย Value Chain ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อในการนำพาณิชย์อิเล็กทรอนิคส์ (E-Commerce) มาประยุกต์ใช้ในแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่ของ Logistics & Supply Chain ทั้งในรูปแบบ Business-to-Consumer (B2C) เพื่อช่วยให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพที่มีต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำกว่า และช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับคู่แข่งทางธุรกิจ
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) แบบ Business-to-Business (B2B) จะเป็นช่องทางการค้าแบบใหม่ควบคู่กับช่องทางการค้าแบบดั้งเดิม ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกดูข้อมูลต่างๆของสินค้า สามารถสั่งซื้อสินค้าและชำระค่าสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ได้อย่างสะดวกรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่จำกัดเวลา สถานที่ และระยะทาง ในขณะเดียวกันพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) แบบ Business-to-Business (B2B) ก็จะเป็นการดำเนินการค้าผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องโดยตรง เป็นการดำเนินระหว่างธุรกิจกับธุรกิจในการจัดซื้อ จัดหา การสั่งผลิต การขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นการที่ร้านค้าปลีกสั่งซื้อสินค้าจากผู้จัดจำหน่าย ผู้จัดจำหน่ายสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิต ผู้ผลิตสั่งซื้อวัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ และปัจจัยต่างๆในการผลิตจาก Supplier ดังนั้น พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แบบ B2B จึงเป็นโครงสร้างขั้นพื้นฐานของการค้าระบบใหม่ที่มีผลโดยตรงต่อการสนับสนุนการค้าในรูปแบบของ B2C ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
กลไกที่สำคัญของการจัดการ Supply Chain จะอยู่ในการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสาร (Information Flow) ซึ่งอุปสรรคใหญ่ ก็คือ ผู้บริหารส่วนใหญ่ใช้เวลากับการหาข้อมูล และการเตรียมข้อมูลเพื่อใช้ในการประชุม และใช้เวลาส่วนใหญ่ในการบริหารจัดการเพื่อที่จะให้ได้ข้อมูลและถกเถียงเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยไม่ทราบวิธีหรือไม่ได้นำข้อมูลที่ได้ไปใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง ซึ่ง Information Flow ไม่ใช่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการนั้น อีกประการหนึ่ง องค์กรและผู้บริหารใช้ทรัพยากรจำนวนมาก รวมถึงใช้เวลาไปกับการเรียนรู้เทคโนโลยีสารสนเทศและอุปกรณ์ Computer Hardware โดยเป็นการหลงทางเข้าไปรู้เรื่องเทคโนโลยีมาก จนไม่ใส่ใจเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่ได้จากเทคโนโลยี โดยนักเขียนอย่าง Peter F. Drucker ได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า “การทราบว่าเครื่องพิมพ์ดีดทำงานอย่างไร หรือจะพิมพ์ดีดให้เก่งอย่างไร ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณเป็นนักเขียน (ที่เก่ง) ขึ้นมาได้” ผู้เขียนค่อนข้างเห็นด้วย เพราะยังมีผู้บริหารอีกมากที่ชอบอวดตัวว่าเป็นผู้รู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยการลงมือ หรือ Show Off ไปเป็น Computer Operator และมีการแบก Laptop Comp. หรือเล่นกับ Comp. พกพา ซึ่งทั้งหมดควรเป็นหน้าที่ของพนักงานหรืองานเลขานุการ ซึ่งมีเงินเดือนน้อยกว่าหลายสิบเท่า การใช้เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล จึงต้องให้ความสำคัญต่อการจัดการข้อมูลเพื่อเอาไปใช้งาน ที่เรียกว่า “สารสนเทศโลจิสติกส์” จะเป็นปัจจัยที่ทำให้กลไกในระบบ Logistics และ Supply Chain ที่เป็นองค์ประกอบสามารถที่จะรวมเป็นบูรณาการเดียวกันภายใต้ เครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ และการมีระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลที่สำคัญต่อการสนับสนุนการดำเนินการปฏิบัติงานในกิจกรรมต่างๆของวัฏจักรคำสั่งซื้อ (Order Cycle) ซึ่งเป็นส่วนที่มีผลต่อการบริการลูกค้าขององค์กร การใช้เทคโนโลยีจะอยู่ในส่วนของการส่งข้อมูลทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่รู้จักในคำว่า EDI (Electronic Data Interchange) ในการส่งผ่านข้อมูลในการทำงาน ทำให้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพด้านเวลา ในการปฏิบัติงานในกิจกรรมต่างๆได้

ผลกระทบจากการสารสนเทศโลจิสติกส์
การดำเนินการโดยใช้ระบบสารสนเทศในธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ SCM ก่อให้เกิดภาพพจน์ใหม่ของการดำเนินธุรกิจคลังสินค้าซึ่งมีประสิทธิภาพดีกว่าแบบเดิม Logistics เป็นงานที่ต้องสัมผัสกับสินค้าจริง ผู้ดำเนินงานต้องใช้แรงงานและความชำนาญในการปฏิบัติ ผู้บริหารควรวางแผนการใช้เทคโนโลยีในงาน Logistics & Supply Chain เพื่อรองรับผลกระทบดังนี้
1. ผลกระทบด้านธุรกิจขององค์กร ระบบคลังสินค้าจะช่วยให้เกิดการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เก็บสินค้าได้มาก เพิ่มขีดความสามารถในการสนับสนุนการแข่งขันในเชิงธุรกิจ ผู้บริหารองค์กรสามารถขยายธุรกิจให้กว้างได้มากขึ้นเนื่องจากเหลือสินค้าและประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพิ่ม
2. ผู้บริหารสามารถมองเห็นสถานภาพ (Status) โดยรวมของธุรกิจได้ชัดเจนและรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนำ Electronic Tracking มาใช้ในการติดตามงานที่เป็นแบบ B2B จะทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ในการแข่งขันทางธุรกิจได้ดีขึ้น
3. เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยรวมขององค์กรเป็นการลดต้นทุนในการเก็บสินค้า เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
4. สร้างความพึงพอใจให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
5. ก่อให้เกิดการทำงานที่เป็นแบบบูรณาการ
6. ข้อมูลข่าวสารที่ได้จากเทคโนโลยีสารสนเทศ และระบบคลังสินค้าสามารถส่งถึงกันและกันได้ทันท่วงที (Real Time) และมีความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) ลดความผิดพลาดซึ่งเกิดจากการส่งข้อมูล

กระบวนการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Management) ซึ่งนับเป็นกระบวนการสำคัญที่ทำให้การขับเคลื่อนของ Supply Chain เป็นแบบพลวัต (Dynamic) การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Logistics & Supply Chain จะละเลยไม่เข้าใจบทบาทของ Information Technology จะทำให้ไม่สามารถเข้าใจและไม่อาจนำการจัดการ Supply Chain มาเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน ซึ่ง Supply Chain จะขับเคลื่อนได้ จะต้องอาศัยเครือข่ายของเทคโนโลยีสารสนเทศ” จึงจะต้องมีการศึกษารูปแบบของระบบและเครือข่ายที่เหมาะสม โดยจะขอนำเทคโนโลยีที่สำคัญ

INTERNET
Internet หรือ XML เป็นการพัฒนาการที่ก้าวหน้ากว่าในอดีตทั้งในด้านประสิทธิภาพด้านความเร็วในการส่ง ข้อมูล และต้นทุน พัฒนาการของระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทำให้การลงทุนในเครือข่ายโดยตรงหมดไป การลงทุนที่ต่ำกว่าเดิม ส่งผลให้เกิดความยืดหยุ่นในการขยายเครือข่ายการปฏิบัติงานได้มากขึ้น การปฏิบัติงานต่างๆ จะมีลักษณะ Real Time มากขึ้นเช่นกัน การใช้อินเตอร์เน็ต นำไปสู่การจัดการระบบ Logistics และห่วงโซ่อุปทาน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะการนำอินเตอร์เน็ตมาสนับสนุน เป็นการดำเนินงานในลักษณะ E-Commerce โดยอาศัย EDI , XML , B2C , B2B ซึ่ง Software ที่มีการพัฒนาเพื่องาน Logistics & Supply Chain จะมีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น DIMS (Distribution Information Management Systems) หรือ WMS (Warehouse Management Systems) และการนำระบบ GPS (Global Position Systems) ไปใช้กับงานขนส่ง


จากที่กล่าวข้างต้นนั้นจะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีบทบาทต่อกระบวนการ Supply Chain ก็โดยอาศัยระบบเครือข่ายที่เหมาะสม ข้อมูลสารสนเทศจากแหล่งต่างๆ ของห่วงโซ่อุปทานเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมการดำเนินงานในโซ่อุปทานในแต่ละส่วนของโซ่อุปทาน ก็จะมีข้อมูลที่ใช้เพื่อควบคุมการดำเนินการปฏิบัติงานที่แตกต่างกันไปตามแต่ลักษณะหน้าที่ และการที่จะสามารถรวบรวมข้อมูลสารสนเทศจากส่วนต่างๆของโซ่อุปทานนี้ได้ จำเป็นต้องมีระบบฐานข้อมูลในระดับที่ช่วยในการเชื่อมโยงข้อมูลจากส่วนต่างๆ ตลอดทั่วทั้ง โซ่อุปทาน ซึ่งในปัจจุบัน การที่มีเครือข่าย IT นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ หรือขนาดกลาง โดยธุรกิจ SMEs สามารถที่จะมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีราคาถูก เช่น Host Delegated , Co-Location Server , E-Data Banking , ADSL หรือ SDSL ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีที่อาศัยเพียง NT Server และอาศัยโปรแกรมประยุกต์ ก็สามารถที่จะใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศเทียบเท่า Mainframe Computer ขอเพียงให้เข้าใจการใช้ Computer ในลักษณะที่เป็น Information Flow Management คือการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศไม่ใช่ใช้ Computer เป็นเพียง Information Management คือ การนำคอมพิวเตอร์ไปใช้เพียงการประมวลผลเชิงข้อมูลเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ IT ตามความหมายนี้

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)
ในปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจมีมาก ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการขายและภาพลักษณ์บริษัทให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา โดยการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่างๆ เข้ามาใช้ในกิจการ เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันทั่วทุกมุมโลกและสามารถเข้าถึงได้รวดเร็ว ทุกเวลาส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เป็นที่นิยมและได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาค รัฐบาลและเอกชน ในการนำมาใช้พัฒนาและปรับปรุงกระบวนการขายของกิจการ คือ อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) หรือเรียกเป็นภาษาไทยว่า “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” เป็นการจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพาณิชย์ โดยการขายสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ (Website)ง ซึ่งการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้จะก่อให้เกิด การลดต้นทุน ลดเวลาหรือค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เพิ่มช่องทางการตลาดและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ

รูปแบบของการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ในการทำการค้านั้นต้องประกอบด้วยอย่างน้อย 2 ฝ่ายก็คือผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายนั้น ก็มีหลายๆรูปแบบ ทำให้เราสามารถจัดประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ออกเป็นประเภทหลักๆ ดังนี้
  • ผู้ประกอบการ กับ ผู้บริโภค (Business to Consumer - B2C) คือการค้าระหว่างผู้ค้าโดยตรงถึงลูกค้าซึ่งก็คือผู้บริโภค เช่น การขายหนังสือ ขายวีดีโอ ขายซีดีเพลงเป็นต้น
  • ผู้ประกอบการ กับ ผู้ประกอบการ (Business to Business – B2B) คือการค้าระหว่างผู้ค้ากับลูกค้าเช่นกัน แต่ในที่นี้ลูกค้าจะเป็นในรูปแบบของผู้ประกอบการ ในที่นี้จะครอบคลุมถึงเรื่อง การขายส่ง การทำการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain Management) เป็นต้น ซึ่งจะมีความซับซ้อนในระดับต่างๆกันไป
  • ผู้บริโภค กับ ผู้บริโภค (Consumer to Consumer - C2C) ในเรื่องการติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคนั้น มีหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ เช่นเพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ในกลุ่มคนที่มีการบริโภคเหมือนกัน หรืออาจจะทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเอง ขายของมือสองเป็นต้น
  • ผู้ประกอบการ กับ ภาครัฐ (Business to Government – B2G) คือ การประกอบธุรกิจระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ ที่ใช้กันมากก็คือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ หรือที่เรียกว่า e-Government Procurement ในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว รัฐบาลจะทำการซื้อ/จัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เช่นการประกาศจัดจ้างของภาครัฐในเว็บไซต์ www.mahadthai.com หรือการใช้งานระบบอีดีไอในพีธีการศุลกากรของกรมศุลฯ
  • ภาครัฐ กับ ประชาชน (Government to Consumer -G2C) ในที่นี้คงไม่ใช่วัตถุประสงค์เพื่อการค้า แต่จะเป็นเรื่องการบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยเองก็มีให้บริการแล้วหลายหน่วยงาน เช่นการคำนวณและเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต, การให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น เช่นข้อมูลการติดต่อการทำทะเบียนต่างๆของกระทรวงมหาดไทย ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างในการทำเรื่องนั้นๆ และสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มบางอย่างจากบนเว็บไซต์ได้ด้วย

จากการที่แบ่งประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ออกเป็นประเภทตามข้างบนนั้น ดังนั้นทำให้สามารถจัดประเภทของช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างสองฝ่าย ออกได้เป็น 3 ช่องทางคือ
1. การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคล ในที่นี้บุคคลจะหมายถึงทั้งองค์กร บริษัท และตัวบุคคล การติดต่อนั้นทำผ่านได้ทั้ง รูปแบบของโทรศัพท์ โทรสาร และอีเมล์
2. การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลกับระบบคอมพิวเตอร์ และระหว่างระบบคอมพิวเตอร์กับบุคคล คือการใช้งานระบบอัตโนมัติในการติดต่อสื่อสารนั่นเอง เช่น ตู้ ATM ระบบโทรศัพท์อัตโนมัติ ระบบ FAX Back ระบบส่งอีเมล์อัตโนมัติ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าเป็นสำคัญ
3. การติดต่อระหว่างระบบคอมพิวเตอร์ด้วยกันเองเป็นรูปแบบที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ในการติดต่อทางธุรกิจ โดยการให้ระบบคอมพิวเตอร์ของทั้งสองฝ่ายทำการติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลโดยอัตโนมัติ ตามข้อกำหนดที่ได้ทำการตกลงร่วมกันไว้ อาทิ อีดีไอ ระบบการจัดการห่วงโซ่การผลิต เป็นต้น

ประโยชน์ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
สรุปจากที่ผ่านมานั้นจะพบว่าจะมีข้อที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ผลิตอยู่ 3 ประเด็นคือ

  • ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดค่าใช้จ่ายบุคลากรบางส่วน ลดขั้นตอนการประกอบธุรกิจ ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อแบบเดิมๆ
  • ไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก (หมายความว่าต้องสร้างเว็บไซต์ให้มีข้อมูลเป็นภาษาสากลหรือภาษาที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราใช้มากๆ เช่นภาษาจีน ญี่ปุ่น เป็นต้น)
  • ไม่มีข้อจำกัด้านเวลา สามารถทำการค้าได้ 24 ชั่วโมง 7 วัน ผ่านระบบอัตโนมัติ

ประโยชน์สำหรับผู้ซื้อ/ผู้บริโภค

  • หาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบเรื่องราคา คุณภาพสินค้าและข้อมูลอื่นๆเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ
  • อินเทอร์เน็ตมีประโยชน์มากในเรื่องนี้ สามารถเข้าไปในเว็บบอร์ดต่างในการหาข้อมูลได้ง่าย
  • มีร้านค้าให้เลือกมากขึ้น
  • เพียงแค่พิมพ์คีย์เวิร์ดลงในเครื่องมือค้นหาก็มีสินค้าออกมาให้เลือกมากมาย
  • ได้รับสินค้าอย่างรวดเร็ว ในกรณีที่ซื้อสินค้าที่จับต้องไม่ได้ เพราะสามารถได้รับสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้เลย
  • สินค้าบางอย่างสามารถลดพ่อค้าคนกลางได้ ทำให้ได้ราคาที่ถูกลง คงไม่ใช่กับทุกสินค้าหรือทุกผู้ผลิตที่มีความต้องการมาทำการขายเอง อาจจะได้กับสินค้าบางชนิด
  • ลดความผิดพลาดในการสื่อสาร จากเดิมที่ในการค้าต้องส่งแฟกซ์ หรือบางทีบอกจดทางโทรศัพท์ รับใบคำสั่งซื้อแล้วมาคีย์เข้าระบบ ถ้าสามารถทำการติดต่อกันผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ส่งข้อมูลกันได้เลยจะช่วยลดความผิดพลาดในส่วนนี้ไปได้
  • ลดเวลาในการผลิต นำเอาเทคโนโลยีมาช่วยในการคำนวณเรื่องความต้องการวัตถุดิบ การทำคำสั่งซื้อวัตถุดิบ
  • เพิ่มประสิทธิภาพในระบบสำนักงานส่วนหลัง
  • เปิดตลาดใหม่ หาคู่ค้า ซัพพลายเออร์รายใหม่
  • เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง
  • เพิ่มความสัมพันธ์กับคู่ค้าให้ดีขึ้น
  • สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเว็บไซต์ของบริษัท โดยการสร้างข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้า การให้บริการหลังการขายให้คำปรึกษาเรื่องผลิตภัณฑ์ หรือการแก้ไขเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว

10 สุดยอดเทคโนโลยีที่มีผลต่อ Supply Chain
นี่คือสุดยอดเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มใน 10 อันดับแรก ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำเนินการ ด้านซัพพลายเชน การขยายการผลิต การจัดจำหน่าย การค้าปลีก และการบริการระยะไกล
1.Connectivity: การเชื่อมต่อที่ครอบคลุมด้วยเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย 802.11 เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ บลูทูธ
2.Advanced Wireless (Voice & GPS) การสื่อสารด้วยเสียงและจีพีเอสเชื่อมรวมไปยังคอมพิวเตอร์ที่มีความทนทาน
3.Speech recognition: การสั่งงาน ด้วยเสียง
4.Digital imaging: การประมวลผลภาพดิจิตอล
5.Portable printing: การพิมพ์แบบเคลื่อนที่
6.2D & other bar coding advances: ความก้าวหน้าของระบบบาร์โค้ด 2 มิติ และ ระบบบาร์โค้ดอื่นๆ
7.RFID: อาร์เอฟไอดี
8.RTLS: ระบบแสดงตำแหน่งในเวลาจริง
9.Remote management: การจัดการทางไกล
10.Wireless and device security: ความปลอดภัยของ อุปกรณ์และเครือข่ายไร้สาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น